10.พุดตาน

พุดตาน (ชื่อวิทยาศาสตร์: Hibiscus mutabilis L.; ชื่อสามัญ: Dixie rosemallow; Cotton rose; Confederate rose) พุดตานเป็นไม้พุ่มเตี้ย ตามต้นและกิ่งมีขน ใบมีลักษณะคล้ายใบฝ้าย ขนาดใหญ่ ขอบใบหยัก ดอกมีขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายดอกชบาซ้อน บานในตอนเช้า เมื่อแรกบานจะมีสีขาว เมื่อสายจะเปลี่ยนสีเป็นสีชมพู และเป็นสีชมพูเข้มในตอนบ่าย ออกดอกดกตลอดทั้งปี ต้นพุดตาน ชอบอยู่กลางแจ้ง ชอบแสงแดดจัด ไม่ชอบที่แฉะหรือมีน้ำขัง ปลูกได้ดีในที่ดอน ดินร่วนซุย ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง
11.ดอกราชาวดี
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Buddleja paniculata Wall.
ชื่อวงศ์ : Loganiaceae
ชื่อสามัญ : Butterfly Bush, Byttneria, Summer lilac
ชื่อพื้นเมือง : ไค้หางหมา, หางกระรอกเขมร
ถิ่นกำเนิด : เขตร้อนของทวีปเอเชีย ลักษณะทั่วไป:
เป็น ไม้กิ่งเถาที่แตกกิ่งก้านสา ขามากลำต้นเป็นเหลี่ยมเล็กน้อยเ ปลือกหุ้มลำต้นมีสีน้ำตาลอมเทาใ บดกเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ตรงข้ามกิ่งสีเขียวกว ้าง 3ถึง 5เซนติเมตรยาว 4ถึง7เซนติเมตรหน้าใบสากคายคล้า ยกระดาษทรายละเอียดท้องใบเรียบก ว่า ขอบใบจักเป็นซี่เล็กๆโดยตลอด ใบทรงรูปไข่ปลายค่อนข้างแหลม ฤดูการออกดอก : ออกดอกเป็นระยะตลอดปี
12.ดอกเอื้องหมายนา
ชื่อวิทยาศาสตร์ Costus speciosus Smith
วงศ์ Costaceae
ชื่อสามัญ crape ginger, malay ginger, spiral flag.
ชื่อ อื่นๆ เอื้องหมายนา (ทั่วไป) ; ชู้ไลบ้อง, ชูเลโบ (กะเหรี่ยง – แม่ฮ่องสอน ; เอื้องช้าง (นครศรีธรรมราช) ; เอื้องต้น (ยะลา) ; เอื้องเพ็ดม้า (ภาคกลาง) ; เอื้องใหญ่, บันไดสวรรค์ (ภาคใต้)
ลักษณะทั่วไป
เป็น พืชมีหัว ลำต้นกลมอวบนำสูง 1.5-2.5 เมตร รากเป็นหัวใหญ่ยาว บริเวณโคนต้นติดหัวแข็งคล้ายไม้ ใบออกเรียงกันเป็นเกลียวคล้ายก้นหอย ตัวใบยาวเรียวแหลมฐานใบมน โคนใบมีขนและมีส่วนหุ้มรอบลำต้นออกดอกเป็นช่อ ที่ยอด ดอกย่อยรวมกันอยู่หนาเน่น ใบประดับสีม่วงแดงลักษณะรูปไข่ แต่ละใบประดับมีดอกย่อย 1 ดอก ดอกย่อยมีกลีบ เลี้ยง 3 กลีบ กลีบดอกติดกันเป็นหลอด ส่วนปลายแยกเป็นกลีบ ลักษณะกลมปลายมนสีขาวหรือออกแดงเล็กน้อย ส่วนอีก กลีบหนึ่งลักษณะคล้ายลิ้น เป็นแผ่นสีขาวตรงกลางสีเหลือง ขอบหยักเป็นคลื่น ผลกลมมีเนื้อแข็งสีแดง เมล็ดสีดำเป็นมัน เอื้องหมายนาชอบขึ้นในที่ชื้น ใต้ต้นไม้ใหญ่ บริเวณเชิงเขาตามนำตก และริมทางน้ำ
สรรพคุณ
เหง้า รสฉุน เย็นจัด มีพิษ ใช้ขับปัสสาวะ แก้บวมน้ำ สตรีตกขาวเละโรคที่ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ แผลอักแสบบวมมีหนอง ฆ่าพยาธิและทำให้แท้ง
13.ดอกทิวา
ชื่อ วิทยาศาสตร์ Cestrum Diurnum L. ตระกูล Solanaceae ชื่อสามัญ Day Cestrum ถิ่นกำเนิด หมู่เกาะอินดีสตะวันตก ลักษณะทั่วไป เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 - 5 เมตร แตกกิ่งยืดยาวจำนวนมาก เป็นไม้ดอกหอมสกุลเดียวกับราตรี คนไทยรู้จักกันมาไม่ต่ำกว่า 20 ปี ออกดอกดกส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ใบมีลักษณะรูปรีแกมใบหอก ขอบใบเป็นคลื่น ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ดอกเล็ก มี 5 - 6 กลีบ ปลายกลีบม้วนออกกลิ่น หอมตอนกลางวัน เมล็ดแก่เป็นสีดำซึ่งต่างจากราตรีที่เป็นสีขาว
14.ดอกพลับพลึงตีนเป็ด
ชื่อวิทยาศาสตร์ Hymenocallis littoralis Salisb.
ตระกูล AMARYLLIDACEAE
ชื่อสามัญ Spider lily
ลักษณะทั่วไป
ไม้ พุ่มขนาดเล็ก มีหัวใต้ดินลักษณะเป็นกลีบๆเรียงเวียนเป็นวงซ้อนอัดแน่นเป็น ลำต้นเทียม เจริญเติบโตเป็นช่อชูส่วนของใบขึ้นมาเหนือดิน แตกกอ
ต้น : มีหัวอยู่ใต้ดิน ลำต้นกลมสูงประมาณ 30 ซม. ใบ รูปแถบแคบเรียวแหลม ออกตรงข้ามกันสองข้าง ขอบใบเรียบ อวบน้ำ
ใบ :ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับถี่รอบต้น ใบรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน กว้าง 4-5 เซนติเมตร ยาว 100-120 เซนติเมตร ปลายเรียวมนถึงแหลมทู่ โคนใบแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนา สีเขียว เป็นมัน ปลายใบอ่อนโค้งลง
ดอก : สีขาว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกเป็นช่อแบบช่อซี่ร่มที่กลางต้น ก้านช่อดอกแข็งและค่อนข้างแบน ยาว 30-45เซนติเมตร ช่อละ 4-8 ดอก ดอกย่อยเกิดเดี่ยวๆ บนปลายก้านดอกย่อย กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปเรียว ยาว กลีบดอกโคนกลีบดอกติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 6 แฉก มีส่วนที่ยื่นออกมาเป็นรูปแถบเรียวเล็ก ดอกบานเต็มที่กว้าง 8-10 เซนติเมตร
15.ดอกพุดดงหนำเลี้ยบเทียม
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Kopsia jusminiflora Pitard วงศ์ : Apocynaceae
ชื่ออื่นๆ : เข็มบุษบา พุดดง มะดีควาย หนำเลี๊ยบเทียม
ลักษณะทั่วไป :
ไม้พุ่มขนาดเล็ก เปลือกสีน้ำตาลอมเทา ทุกส่วนมีน้ำยางขาว
ใบ : ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปใบหอก กว้าง 8-10 เซนติเมตร ยาว 10-15 เซนติเมตร ปลายใบเรียว แหลม โคนใบสอบ ขอบใบเป็นคลื่น แผ่นใบสีเขียวเป็นมัน
ดอก : สีขาว กลิ่นหอมอ่อนๆ ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ซอกใบและปลายกิ่ง ใบประดับ 1 คู่ ออก ตรงข้าม รูปแถบยาว แต่ละช่อย่อยมีดอกย่อย 3 ดอก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดแคบมีขนาดไม่เท่ากัน ตรงโคนสีแดงส้ม มีขน ปลายแยกเป็น 5 แฉก รูปขอบขนาน ปลายมน ดอกกลางบานก่อนดอกบานเต็มที่กว้าง 2.5-4.0 เซนติเมตร
ผล : ผลสด รูปกระสวยมักออกเป็นคู่ เมื่อสุกสีม่วงดำ
16.ดอกหิรัญญิการ์
ชื่อวิทยาศาสร์ Beaumontia brevityba. Oliv. ตระกูล APOCYNACEAE ชื่อสามัญ Nepal Trumpet
ลักษณะทั่วไป
ต้น หิรัญญิการ์เป็นไม้เถาใหญ่เนื้อแข็ง ทุกส่วนของลำต้นหรือเถาจะมียางสีขาว ส่นยอดหรือส่วนอื่นๆ ที่ยังอ่อนอยู่จะมีขนสีน้ำตาลอมแดงขึ้นปกคลุม หิรัญญิการ์มักเลื้อยเกาะพันต้นไม้อื่นและสามารถ เลื้อยไปได้ไกลประมาณ 15 เซนติเมตร แตกกิ่งก้านสาขาแผ่เป็นพุ่มแน่นเฉพาะส่วนยอดหรือ บริเวณที่ได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ ใบ หิรัญญิการ์เป็นไม้ใบเดี่ยว ออกใบเป็นคู่ตรงข้ามกันตามข้อต้นลักษณะใบหยาบยาวหนา รูปใบมน ปลายใบแหลมเป็นติ่ง ขอบใบเรียบ เกลี้ยง ไม่มีจัก ใบมีความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร และ กว้างป ระมาณ 4-6 เซนติเมตร ใบด้านบนเป็นมัน
ดอก ดอกหิรัญญิการ์มีขนาดใหญ่ สีขาว ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกมีลักษณะคล้ายถ้วย ตอนปลายของดอกจะบานกว้างมี 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้ติดอยู่กับเนื้อบริเวณ โคนกลีบ มีลักษณะเป็นเส้นยาว แยกออกจากกัน คือจะมีเกสรติดอยู่กลีบละ 1 อัน หนึ่งดอกมีเกสร ตัวผู้อยู่ 5 อัน ส่วนเกสรตัวเมียจะมีลักษณะเป็นแท่งขนาดเล็กซ่อนอยู่ข้างในดอก ดอกเมื่อบานเต็ม ที่จะมีความกว้างประมาณ 8 เซนติเมตรและยายประมาณ 13 เซนติเมตร ช่อดอกหนึ่ง ๆ จะมีดอกตั้ง แต่ 6-15 ดอก ดอกจะผลัดกันบานครั้งละประมาณ 4 ดอก
17.ดอกพุดจีบ
ชื่อสามัญ : East Indian Rosebay Crepe Jasmine
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ervatamia eornaria Stapf
วงศ์ : APOCYNACEAE
ชื่อพื้นเมือง : พุดสวน พุดสา พุดป่า
ลักษณะทั่วไป :
พุด จีบเป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ ๑.๕- ๓เมตรแตกกิ่งก้าน สาขามาก ทุกส่วนของลำต้นมีน้ำยางสีขาว ใบเดี่ยวรูปหอกออกเป็นคู่ ู่ตรงข้าม ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็นมัน หน้าใบสีเขียวเข้มกว่าท้องใบ ดอกออกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่งฝักปลายแหลมและโค้ง มีกลิ่นหอมแรง เวลาเช้าถึงสาย
การขยายพันธุ์ : ปักชำกิ่ง หรือเพาะเมล็ด
ลักษณะเด่น : ออกดอกตลอดปี
18.ดอกสร้อยสายเพชร
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clerodendrum wallichii Merr.
ชื่อสามัญ Nodding Clerodendron
วงศ์ LABIATAE
ชื่ออื่น ระย้าแก้ว/สร้อยระย้า/สร้อยสายเพชร/สังวาลย์พระอินทร์/ตุ้มหูพระอินทร์ ลักษณะทั่วไป
เป็น ไม้พุ่มขนาดเล็ก ใบรูปไข่ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบดอกออกเป็นช่อตามยอด หรือที่ปลายกิ่ง ก้านดอกยาวประมาณ 25 ซม.ก้านดอกเล็กเรียวคล้ายเส้นด้าย กลีบรองดอกรูประฆัง สีแดง กลีบดอกมีสีขาวปลายแยก 5 กลีบ ออกดอกช่วงเดือนมิถุนายนไปจนถึงหน้าหนาว ประมาณเดือน ธันวาคม-มกราคม ระยะการบานของดอกนานเป็นเดือน ช่อดอกจะบาน และยาวออกมาเรื่อยๆ จนยาวเป็นเมตรจนกว่าจะบานหมด
19.ดอกชมนาด
ชื่อวิทยาศาสตร์ Vallaris solanacea Kize
ตระกูล APOCYNACEAE
ชื่อสามัญ Bread Flower
ลักษณะทั่วไป
ต้น ชำมะนาดป่าเป็นพรรณไม้พุ่มกึ่งเลื้อย ลำต้นมีความสูงโดยประมาณ 7 เมตรเศษ ๆ และมีน้ำยางสีขาว ลำต้นจะเป็นสีเขียวคล้ำ ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว ใบจะมีการเรียงตัวกันเป็นคู่ออกตรงข้ามกัน ใบมีลักษณะเป็นรูปรี หรือรูปขอบขนาน ปลายใบแหลมเป็นติ่ง ส่วนโคนใบก็แหลมเช่นกัน ใบจะมีความ กว้างประมาณ 4 เซนติเตร และยาวประมาณ 14 เซนติเมตร เนื้อใบบางและมีเส้น ใบประมาณ 10-12 คู่ ก้านใบยาว ดอก ออกดอกที่ปลายกิ่ง ลักษณะเป็นช่อพวง หรือในบางครั้งดอกก็อาจจะออกตามง่ามใบ ด้วย ดอกจะเป็นสีขาวมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ภายในดอกหนึ่ง ๆ จะมีเกสรตัวผู้อยู่ประมาณ 5 อัน ที่ก้านเกสรจะมีขน ส่วนเกสรตัวเมีย จะมีอยู่ 2 ช่องติดกัน และท่อเกสรตัวเมีย ก็จะมีขนด้วย
20.ดอกหีบไม้งาม
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Carissa macrocarpa (Ecklon) A.DC. 'Boxwood Beauty'
ชื่อวงศ์ : Apocynaceae
ชื่อสามัญ : Boxwood beauty, Natal plum
ลักษณะ ทั่วไป : ไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามปลายแหลมแยกเป็น 2 แฉก ยาวได้ถึง 3 เซนติเมตร ออกตามข้อ ทุกส่วนของต้นมีน้ำยางขาว
ใบ : ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉากซ้อนกันถี่ ใบรูปไข่เกือบกลม กว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 4-6.5 เซนติเมตร ปลายใบมนมีติ่งหนามสั้น โคนใบรูปหัวใจหรือตัด ขอบใบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนา แข็ง ผิวใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน ผิวใบด้านล่างสีเขียวอ่อน
ดอก : สีขาว กลิ่นหอม ออกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อแบบช่อกระจุกตามซอกใบที่ปลายกิ่ง ช่อละ 1-3 ดอก กลีบเลี้ยงขนาดเล็ก 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยก 5 แฉก ดอกบานเต็มที่ กว้าง 2-3 เซนติเมตร
ผล : ผลสดแบบมีเนื้อ ทรงกลมแป้นเล็กน้อย ขนาด 2-4 เซนติเมตร เมื่อสุกสีแดงปนดำ มี 6-10 เมล็ด
21.ดอกสร้อยฟ้า
ชื่อวิทยาศาสตร์: Passiflora x alatocaeruleac Lindley. ชื่อ วงศ์: PASSIFLORACEAE ลักษณะทั่วไป: ต้น ไม้เถาเลื้อยเถาใหญ่มีมือเกาะ ลำต้นทอดเลื้อยได้ 2-3 เมตร ใบ เป็นใบเดี่ยว ขอบใบเว้าลึกเป็น3 แฉก ปลายใบแหลม โคนเว้า ขนาดใบกว้าง 7-10 ซม. ดอก ออกดอกเดี่ยวตามซอกใบสีม่วงมีกลิ่นหอม มีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ มี ระยางสีม่วงเรียงซ้อนกันหลายชั้น เมล็ด มีเมล็ดจำนวนมาก ฤดูกาลออกดอก: ออกดอกตลอดปี การขยายพันธุ์: ใช้กิ่งตอน ปักชำ หรือเมล็ด
22.ดอกลำโพงกาสลัก
ชื่อวิทยาศาสตร์: Datura fastuosa L.
ชื่อสามัญ: Thorn Apple
ลักษณะทั่วไป
เป็น พืชล้มลุก ประเภทเดียวกับมะเขือ ชื่อพื้นเมืองเช่น มะเขือบ้าดอกดำ เมื่อโตเต็มที่มีความสูงประมาณ 1-1.5 เมตร ลำต้น กิ่ง และก้านใบมีสีม่วงเข้มดำมัน
ใบ: ใบเดี่ยว รูปไข่ สีเขียวเข้ม เรียงสลับกัน กว้าง 8-15 เซนติเมตร ยาว 10-20 เซนติเมตร ขอบใบหยักเป็นซี่ฟันหยาบๆ ฐานหรือโคนใบมักไม่เสมอกัน
ดอก: มีสีม่วง ขนาดของดอกยาวประมาณ 12-16 เซนติเมตร ก้านดอกสั้น เมื่อดอกโตเต็มที่ปากดอกจะบานออกดูคล้ายรูปแตร ขนาดของดอกยาวประมาณ 12-16 เซนติเมตร ก้านดอกสั้น ดอกมักจะซ้อนกัน 3 ชั้น เป็นส่วนใหญ่ ถ้าเป็นพันธุ์ผสม ดอกจะซ้อนกัน 2 และ 4 ชั้น
ประโยชน์:
ใช้ เป็นยาสมุนไพร โดยเมล็ดใช้หุงทำน้ำมันใส่แผล แก้กลากเกลื้อน ผื่นคัน, ใช้ใบสดตำพอกฝี แก้ปวดบวมอักเสบ ใบและยอด มีแอลคาลอยด์ hyoscyamine และ hyoscine ใช้แก้อาการปวดท้องเกร็ง และขยายหลอดลม ใช้แก้หอบหืดได้และดอกใช้สูบเพื่อแก้อาการหอบหืดได้
23.ดอกยี่เข่ง
ชื่อวิทยาศาสตร์: Lagerstroemia indica L.
ชื่อวงศ์: Lythraceae
ชื่อสามัญ Crape myrtle, Indian lilac, Crape flower
ชื่ออื่นๆ คำฮ่อ
ลักษณะทั่วไป
ไม้ พุ่มขนาดใหญ่หรือไม้ต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ เรือนยอดรูปไข่ แผ่กว้าง บางครั้งมีลักษณะเป็นพุ่มโปร่ง เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลเป็นมัน มีสะเก็ดสีขาวลอกเป็นแผ่น
ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ ใบรูปไข่ กว้าง 1-2 เซนติเมตร ยาว 3-4.5 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบผิวใบด้านบนสีเขียวเช้มมีขนสากตามเส้นกลางใบและเส้นใบ ผิวใบด้านล่างสีเขียว อ่อนกว่าก้านใบสั้น
ดอก สีขาว ชมพู และม่วง ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงสีเขียว กลีบดอก 6 กลีบปลายกลีบดอกแผ่กว้างเป็นลอนคลื่นโคนกลีบเรียว ดอกบานเต็มที่กว้าง 3-5 เซนติเมตร
ผล ผลเเห้งแตก รูปถ้วย เปลือกเเข็ง มีเมล็ดจำนวนมาก
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Chrysothemis pulchella (Donn ex Sims) Decne
ชื่อวงศ์ : Gesneriaceae
ลักษณะทั่วไป :ไม้คลุมดิน ลำต้นและใบอวบน้ำ ลำต้นกิ่งก้านและใบมีขนสั้นๆปกคลุม
ใบ : ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ใบรูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง 10-12 เซนติเมตร ยาว 15-30 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบจักซี่ฟัน แผ่นใบย่น ผิวใบสีน้ำตาลแดงอมเขียว
ดอก : สีเหลือง ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงสีแดงส้ม โคนเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉก สั้นๆ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉกกลมมน ดอกบานเต็มที่ กว้าง 1.5-2 เซนติเมตร
การใช้งานด้านภูมิทัศน์
: ปลูกประดับสวนในพื้นที่เฉพาะใกล้ที่นั่ง หรือศาลาเพราะดอกเด่น แต่พุ่มใบเปราะหักง่ายไม่เหมาะกับบ้านที่ มีสุนัขหรือในที่สาธารณะ ถ้าดินแฉะต้นจะเน่าตาย ชอบอากาศร้อน
25.ดอกหมวกจีน
ชื่อ วิทยาศาสร์ Holmskioldia Sanguinea. Retz. ตระกูล VERBENACEAE ชื่อสามัญ Chinese Hat Plant, Cup and Saucer Plant. Parasol Flower.
ลักษณะทั่วไป
ต้น หมวกจีนเป็นไม้กึ่งต้นกึ่งเลื้อย หรือไม้รอเลื้อยแบบเดียวกับต้นเฟื่องฟ้า ลำต้นและกิ่งก้าน เป็นลำสี่เหลี่ยม มีความสูงประมาณ 30 ฟุต ใบ หมวกจีนเป็นไม้เดี่ยว ออกใบเป็นคู่ตรงข้ามกันตามข้อต้น ลักษณะใบเป็นทรงรีรูปใบพลู โคนใบมน ปลายใบเป็นติ่งแหลมยาว ริมใบเป็นจักเล็กน้อย ใบจะมีความยาวประมาณ 4 นิ้ว มีก้านใบสั้นประมาณ 2 เซนติเมตร ดอก เมื่อยามหมวกจีนออกดอกจะมีสีสันราวกันต้นไม้แฟนซี ดอกจะสะพรั่งไปทั้งต้น ดอกจะมีสี เหลือง สีส้ม สีแดง ไล่จากสีอ่อนไปหาสีแก่ลักษณะของดอกที่มองเห็นโดยรวม จะเห็นเป็น แผ่นกลมทรงหมวกจีน ซึ่งเป็นใบประดับของหมวกจีนนั่นเอง และหากจับดูก็จะรู้สึกคล้าย กับ ว่าเป็นวัสดุที่ทำด้วยหนังหรือแผ่นยางอ่อน ๆ อะไรทำนองนั้น และยังสามารถทนแดด ทนลม และทนต่อการกระทบกระทั่งได้เป็นอย่างดี หมวกจีนจะออกดอกเป็นช่อตามข้อต้น โคนก้านใบและปลายกิ่ง ส่วนดอกแท้ของดอกจีนนั้น จะอยู่ส่วนกลางของใบประดับ มีลักษณะรูปร่างคล้ายแตรฮอร์น ยื่นออกมาจากข้างใน และมีเกสรสีเหลืองยาวพ้นปากแตรออกมาอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งมีขนาดความยาวโดยประมาณ 1 เซนติเมตรเศษ เมื่อแก่ดอกก็หลุดออกจากใบประดับ พร้อมกับเกิดตุ่ม เป็นเมล็ดกลม ๆ ดิตอยู่กลางหมวกจีนแทนดอก
26.ดอกขิงม่วง
ชื่อวิทยาศาสตร์ Dichorisandra thyrsiflora
ชื่อสามัญ Blue Ginger
วงศ์ Commelinaceae
ถิ่นกำเนิด บราซิล
ลักษณะทั่วไป
ลำ ต้นตั้งตรง สูงถึง 2 เมตร ใบ ใบออกสลับเป็น 2 แถว รูปใบหอกแกมรูปรี ปลายแหลม กว้าง 6-8 เซนติเมตร ยาว 20-30 เซนติเมตร ผิวเกลี้ยง สีเขียวเข้มเป็นมัน ดอก ช่อดอกออกที่ยอด เป็นช่อตั้งทรงกระบอก ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร กลีบเลี้ยง 3 กลีบ สีม่วงมีเส้นใบสีม่วงดำ กลีบดอก 3 กลีบ สีม่วงโคนกลีบสีขาว ขยายพันธุ์ ตอน ปักชำ สภาวะเหมาะสม - แสงแดดช่วงเช้า ร่มรำไร - ชื้นแต่ไม่ท่วมขัง
27.ดอกอินทนิล
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lagerstroemia macrocarpa Wall.
ชื่อวงศ์ : LYTHRACEAE
ชื่อสามัญ : Queen's flower, Queen's crape myrtle
ชื่ออื่นๆ จ่อล่อ, จะล่อหูกวาง บางงอ บะซะ บาเอ อินทนิล
ลักษณะทั่วไป
เป็น ไม้ยืนต้นสูง 10–15 เมตร ลำต้นเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่มกลม ผิวเปลือกนอกสีเทา ใบเป็นใบเดี่ยว รูปรีหรือรูปไข่แกมขอบขนาน ปลายใบมน ดอก : ดอกย่อยขนาดใหญ่ กลีบดอกสีชมพู สีม่วงแกมชมพู หรือสีม่วง ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน ผลเป็นผลแห้ง มีขนาดใหญ่ ขยายพันธุ์:โดยการเพาะเมล็ด ถิ่นกำเนิด: ที่ราบลุ่มริมน้ำ ป่าเบญจพรรณชื้นและป่าดิบทั่วไป
28.ดอกแอฟริกันไวโอเลต
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Saintpaulia ionantha
วงศ์ : Gesneriaceae
ชื่อสามัญ : African Violet
ลักษณะทั่วไป
พันธุ์ ดั้งเดิมนั้นมีกลีบดอกชั้นเดียว และมีสีเดียวคือ สีม่วง ดอกออกเป็นช่อ ก้านดอกยาวประมาณ 7-10 นิ้ว กลีบดอก มี 5 กลีบ ใบเป็นรูปไข่ ของใบเรียบ มีขนอ่อนอยู่ทั่วไปทั้งบนใบและใต้ใบ ต่อมามีการผสมพันธุ์ปรับปรุงพันธุ์ต่าง ๆ ออกมามากมาย ทำให้ปัจจุบันนั้นมีหลายสี เช่น สีขาว ชมพู แดง ม่วง และมีทั้งที่เป็นดอกชั้นเดียวและ ดอกซ้อน นอกจากนี้ยังมีทั้งกลีบดอกเรียบ และกลีบดอกหยักด้วย
การขยายพันธุ์
เมล็ด เมล็ดของแอฟริกันไวโอเล็ตนั้นมีขนาดเล็กมาก ดังนี้นการเพาะเมล็ดจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และ การปักชำ
29.ดอกมอร์นิ่งกลอรี่
ชื่อวิทยาศาสตร์ Ip omoea Rorsfalliae. (L.) Roth.
วงศ์ CONVOLVULACEAE
ชื่อสามัญ Deep rose. morning glory
ลักษณะทั่วไป
ต้น เป็นไม้เถาเลื้อยฤดูเดียว เถามีขนาดเล็ก ตามเถามีขนขึ้นปกคลุมจนทั่ว โดยเฉพาะ บริเวณปลายยอด ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว ใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมนเว้าเข้าหาก้านใบทั้ง 2 ข้าง หรือใบเป็นรูปหัวใจ ดอก ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรืออาจจะออกเป็นกลุ่ม ๆ หนึ่ง ๆ จะมีประมาณ 5 ดอก รูปทรง ของดอกจะคล้ายกับแตร หรือคล้ายดอกผักบุ้ง มีขนาดเล็กและมีความยาวประมาณ 3 นิ้ว ดอกมีสีต่าง ๆ กัน เช่น สีม่วงอมน้ำเงิน หรือ สีม่วงปนขาว สีขาว สีแดง สีฟ้า สีชมพู
30.ดอกสาบแร้งสาบกา
ชื่อสามัญ : Goat Weed
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ageratum conyzoides Linn.
วงศ์ : COMPOSITAE
ชื่อ อื่น ๆ : เทียนแม่ฮาง (เลย), หญ้าสาบแฮ้ง (เชียงใหม่), หญ้าสาบแร้ง (ราชบุรี), ตับเสือเล็ก (สิงห์บุรี), เซ้งอั้งโซว (จีน-แต้จิ๋ว) ลักษณะ ทั่วไป : ต้น : เป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่มีอายุเพียงปีเดียวตาย ลำต้นจะตั้งตรงแตกกิ่งก้านสาขามาก ทั้งต้นจะมีขนปกคลุมอยู่ และเมื่อเด็ดมาขยี้ดมจะมีกลิ่นเฉพาะตัวเลย ลำต้นสูงประมาณ 1-2 ฟุต ใบ : ออกใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ แต่ตรงส่วนยอดใบจะเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปมนรี ปลายแหลม โคนใบเว้าคล้ายรูปหัวใจ ขอบใบเป็นจักฟันเลื่อย พื้นใบมีสีเขียว และมีขนสั้น ๆ อ่อน ๆ ปกคลุมอยู่ ยาวประมาณ 2-5 นิ้ว ก้านใบมีขนปกคลุมตลอดทั้งก้าน ดอก : ออกดอกเป็นช่ออยู่ตรงส่วนยอดของต้น ช่อหนึ่ง ๆ จะมีดอกขนาดเล็กประมาณ 6 มม. อัดตัวอยู่กันแน่น ดอกมีสีม่วงน้ำเงินหรือขาว มีอยู่ 5 กลีบ ๆ เลี้ยงสีเขียว ผล : แปลกมาก คือจะเป็นรูปเส้นตรงสีดำ ส่วนบนจะมีขนสั้นอยู่ 5 เส้น การขยายพันธุ์ : เป็นพรรณไม้กลางแจ้ง ที่เจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิดซึ่งจัดเป็นวัชชพืชชนิดหนึ่ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ส่วนที่ใช้ : ทั้งต้น ใบ และราก สรรพคุณ : ทั้งต้น แก้ไข้ ขับระดู แก้บิด แก้ลม และแก้ช่องทวารหนักหย่อนยาน ใบ พอกแก้คัน แก้แผลเรื้อรังที่เยื่อเมือก ห้ามเลือด ทาภายนอกแก้ปวดบวม แก้ท้องขึ้นอืดเฟ้อ น้ำต้มกินแก้ไข้ น้ำคั้นใช้หยอดตาแก้ตาเจ็บ เป็นยาทำให้อาเจียน ราก ใช้ยับยั้งการเจริญเติบโตของก้อนนิ่ว แก้ไข้
31.ดอกแพรเซียงไฮ้
ชื่อวิทยาศาสตร์: Portulaca grandiflora Hook.f
ชื่อวงศ์: PORTULACACEAE
ชื่อสามัญ: Portulaca Rose, Rose Moss, Sun Plant
ชื่อพื้นเมือง: ดอกผักเบี้ย แดงสวรรค์ ปักเบี้ยฝรั่ง (กรุงเทพฯ)
ลักษณะ ทั่วไป: ต้น เป็นไม้ดอกคลุมดิน สูงประมาณ 0.2 เมตร ลำต้นและใบอวบน้ำ ใบ ใบเดี่ยวออกเวียนสลับ รูปแท่งทรงกระบอก ใบยาว 2-3 เซนติเมตร มักโค้ง ปลายแหลม ดอก ดอกมีหลายสี เช่น สีชมพู แดง เหลือง ม่วง หรือขาว บางทีลาย ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งมี 2-8 ดอก กลีบเลี้ยง 2 กลีบ รูปไข่ ยาว 0.5-1.2 เซนติเมตร กลีบดอก 4-8 กลีบ หรือมากกว่า รูปไข่กลับยาว 1.2-3 เซนติเมตร ขอบย้วย มีทั้งพันธุ์ลาและพันธุ์ซ้อน ฝัก/ผล รูปไข่เมื่อแก่แตกตามขวาง เมล็ด รูปไต ผิวค่อนข้างขรุขระ
32.ดอกพวงแสดต้น
ชื่อ วิทยาศาสตร์ : Tecoma capensis (Thunb) Lindl. ชื่อวงศ์ : BIGNONIACEAE ชื่อสามัญ : Cape Honey Suckle , Kaffir Honeysuckle ชื่ออื่นๆ พวงแสดต้น, หงอนนกยูง ลักษณะทั่วไป
ต้น : ไม้พุ่มสูง 1-2 เมตร ลำต้นและกิ่งก้านเปราะ หักง่าย กิ่งอ่อนมักจะโน้มลง ทำให้เป็นพุ่มเตี้ย กิ่งก้านทอดยาว ใบ : ใบประกอบแบบขนนก ออกตรงข้ามใบย่อยมี 5 - 9 ใบ รูปไข่หรือรูปรี กว้าง 2 - 3 เซนติเมตร ยาว 3 - 5 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ขอบใบจัก ดอก : ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อนจำนวน 10 - 30 ดอก สีส้มแดงหรือเหลือง โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 กลีบ และโค้งงอลง เกสรตัวผู้มี 4 อัน โผล่พ้นกลีบดอกดอกออกตลอดปี ผล : เป็นฝักกว้าง 1 เซนติเมตร ยาว 2 - 6 เซนติเมตร เมื่อแก่แตกได้ การขยายพันธุ์ เพาะเมล็ดตอนกิ่งปักชำ
33.ดอกทับทิม
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Punica granatum L.
ชื่อวงศ์ : Punicaceae
ชื่อสามัญ : Pomegranate
ชื่ออื่น : พิลา (หนองคาย) พิลาขาว มะก่องแก้ว (น่าน) มะเก๊าะ (ภาคเหนือ) หมากลิง (แม่ฮ่องสอน) เซียะลิ้ว เจียะลิ้ว (จีน)
ลักษณะ : ทับทิมเป็นไม้พุ่มแตกกิ่งก้าน โคนต้นมีกิ่งที่เปลี่ยนไปเป็นหนามยาว แข็ง ใบ เดี่ยว แผ่นใบแคบ ขอบใบเป็นรูปขอบขนาน ยอดอ่อนเป็นสีแดง ใบออกเป็นคู่ ๆ ตรงข้ามกัน หรือใบออกสลับกัน ดอก เดี่ยว กลีบเลี้ยงหนาสีแดง จะคงทนอยู่จนเป็นผล กลีบดอกสีแดง หรือสีเหลืองอ่อน ถ้ากลีบดอกสีแดง ผลเมื่อแก่จัดจะมีเปลือกแดงปนชมพู ปนน้ำตาลเหลือง ถ้ากลีบดอกสีเหลืองอ่อน ผลแก่จัดสีเหลืองปนน้ำตาล ผล กลมโต แล้วแต่พันธุ์ เปลือกนอกของผลหนาค่อนข้างเหนียว เปลือกด้านในสีเหลือง ภายในมีเมล็ดเป็นจำนวนมาก อัดกันแน่นเต็มเปลือก แต่ละเมล็ดมีเนื้อสีชมพู หรือสีแดงลักษณะใส มีรสหวาน หวานอมเปรี้ยว
34.ดอกดาวกระจาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Comos spp. ตระกูล Compositae ชื่อสามัญ Cosmos ถิ่นกำเนิด อเมริกากลาง
ลักษณะทั่วไป
ดาวกระจาย มีพุ่มต้นสูง 3-4 ฟุต เป็นไม้ดอกที่พบปลูกตามรั้วบ้าน และขึ้นเองทั่วไปตามริมทางเมล็ดงอกง่ายเจริญเติบโตเร็วเมื่อต้นโตเต็มที่จะ ออกดอกสะพรั่งทยอยบานนาน 4- 6 สัปดาห์จากนั้นดอกจะโรยพร้อมกับติดเมล็ดเพราะดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบและ ปลายกิ่งดอกวงนอกเป็นหมันกลีบดอกมีสีต่างๆมีตั้งแต่สีชมพู ชมพูอมม่วง แดง ขาว กลีบดอกบาง มี 8 กลีบสีเหลืองถึงสมมีหลายพันธุ์เช่นพันธุ์ดอกซ้อนมีพุ่มเตี้ย ส่วนดอกวงในเป็นดอกสมบูรณ์เพศกลีบดอกเป็นหลอดสีเหลืองปลายจักส่วนมากเป็นดอก ชั้นเดียว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางดอก ประมาณ 3 นิ้ว
35.ดอกกุหลาบเมาะลำเลิง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pereskia bleo (Kunth) DC.
วงศ์ : Cactaceae
ชื่อสามัญ : Wax Rose
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูงได้ถึง 5 เมตร
ลำต้น โคนต้นมีเนื้อไม้ กิ่งก้านอวบน้ำ และมีหนามยาวสีน้ำตาลแดง แข็ง ออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ
ใบ ใบเดี่ยว ออกสลับ รูปรี รูปขอบขนานหรือรูปไข่กลับ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเป็นคลื่น ก้านใบยาว
ดอก มีสีแดงอมส้ม ออกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม 2-3 ดอก เป็นช่อสั้นที่ปลายกิ่ง ดอกทยอยบาน ปลายก้านเชื่อมติดกันติดกับฐานรองดอกมีใบประดับเล็กๆ 2-5 กลีบ รูปร่างไม่แน่นอน มีทั้งสามเหลี่ยมไปจนถึงปลายเรียวแหลม กลีบเลี้ยง 2-3 กลีบ รูปไข่ กลีบดอกรูปไข่กลับ 10-15 กลีบ เรียงซ้อนกันหลายชั้น ปลายกลีบเว้าตื้นหรือมีติ่งแหลม กลีบชั้นนอกใหญ่กว่าชั้นใน เกสรเพศผู้จำนวนมาก ออกดอกตลอดปี
ผล รูปกรวยแหลม ด้านบนแบน เมื่อสุกสีเหลือง
เมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก
นิเวศวิทยา : มีถิ่นกำเนิดในโคลัมเบีย เขตร้อนของอเมริกา ปานามา ปลูกได้ทั่วไปในเขตร้อน
ขยายพันธุ์ : ด้วยการปักชำกิ่ง หรือตอนกิ่ง
36.ดอกคอเดีย
ชื่อ วิทยาศาสตร์ Geiger tree,cordia ตระกูล Cordia sebestena linn ชื่อสามัญ Boraginaceae ถิ่นกำเนิด อเมริกาเขตร้อน
ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ยืนต้น สูง ประมาณ 5 - 10 เมตร ลำต้นเดี่ยว ตั้งตรง แตกกิ่งก้านต่ำ กิ่งแขนงส่วนใหญ่จะตั้งฉาก กับลำต้น เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลเทาถึงเข้ม ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลมหรือ กลม โคนมน ผิวใบสากมือ สีเขียวสด ดอกเป็นสีแสดแดง หรือ สีส้ม ออกเป็นช่อ กระจุกที่ปลายยอด แต่ ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก กลีบเลี้ยงเป็นเป็นรูปกรวยยาว ปลายจักเป็น 3 - 4 ซี่ กลีบดอก เป็นรูปปากแตร ปลายแยกเป็นกลีบดอก 5 - 7 กลีบ ขอบกลีบย้วย ผิวกลีบย่นจากโคนกลีบขึ้นไปเกือบ ถึงปลายกลีบดอก ดอกบานเต็มที่ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 - 5 ซม. เวลามีดอกดกและบานพร้อมๆ กัน ช่อตั้งชูขึ้นสร้างสีสันฉูดฉาดสวยงาม น่าชมยิ่ง ใจกลางดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน ผลเป็นรูปไข่ค่อนข้าง กลมสีขาว ดอกออกเกือบตลอดปี
37.ดอกาสะลองคำ
ชื่อ สามัญ Tree Jasmine ชื่อวิทยาศาสตร์ Radermachera ignea (Kurz) Steenis วงศ์ BIGNONIACEAE ชื่ออื่น กากี (สุราษฎร์ธานี), กาซะลองคำ (เชียงราย), แคะเป๊าะ สำเภาหลามต้น (ลำปาง), จางจืด (เชียงใหม่), สะเภา อ้อยช้าง (ภาคเหนือ) ลักษณะทั่วไป เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง 6–20 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกตรงข้ามกัน แผ่นใบรูปรีแกมรูปหอก ปลายใบแหลมเป็นติ่ง โคนใบสอบแหลม ออกดอกเป็นกระจุกตามกิ่งและลำต้น สีเหลืองอมส้ม หรือสีส้ม กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นแฉกสั้นๆ 5 แฉก ผลเป็นฝัก เมื่อแก่แตกเป็นสองซีกเมล็ดมีปีก ขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง และแยกหน่อ สภาพที่เหมาะสม ดินร่วนปนทราย ถิ่นกำเนิด ขึ้นตามธรรมชาติบนเทือกเขาหินปูนที่ค่อนข้างชื้นทางภาคเหนือ
38.ดอกบานชื่นหนู
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Zinnia angustifolia Kunth
ชื่อสามัญ : Narrowleaf Zinnia, Classic Zinnia
ชื่อวงศ์ : Compositae
ลักษณะทั่วไป : ไม้ดอกล้มลุก ลำต้นมีขนปกคลุม
ใบ : ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปแถบหรือรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน กว้าง 0.7-2 เซนติเมตร ยาว 7-9 เซนติเมตร ปลายใบมน โคนใบแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียว มักโค้งลง มีขนเป็นเส้น ยาว ไม่มีก้านใบ
ดอก : สีเหลืองและขาว วงในสีเหลืองเข้มถึงน้ำตาล ออกเป็นดอกเดี่ยวตามซอกใบที่ปลายกิ่ง มีทั้ง ดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน ดอกวงนอกมีกลีบดอกชั้นเดียว รูปรีถึงรูปไช่กลับค่อนข้างกลม 5-7 กลีบ ดอกวงใน มีกลีบดอกสีเหลืองเข้มถึงน้ำตาล เป็นหลอดอัดเเน่นอยู่กลางดอก ดอกบานเต็มที่กว้าง 2-3 เซนติเมตร
ผล : ผลแห้ง เมล็ดล่อน ปลายมีขน
39.ดอกชบาซ้อน
ชื่อ สามัญ Chinese rose ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus rosa sinensis. ตระกูล MALVACEAE
ถิ่นกำเนิด จีน อินเดียและฮาวาย
ลักษณะทั่วไป
ชบา ในบ้านเรารู้จักกันมานานแล้ว จะเห็นได้จากบ้านคนสมัยก่อนจะมีชบายอยู่แทบทุกบ้าน ปัจจุบันชบาได้รับการผสมพันธุ์เพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่ออกมามากมาย ซึ่งล้วนแต่สวย ๆ งาม ๆ ทั้งนั้น ทำให้ได้ดอกของชบาที่มีรูปร่างสวยงามสีสันของดอกสดใส ขบานั้นจัดเป็นไม้พุ่ม ความ สูงดดยทั่วไปประมาณ 2.50 เมตร ใบมีสีเขียวเข้ม มนรี ปลายใบแหลม แต่ปัจจุบันก็ยังมีพันธุ์ แตกต่างออกไปอีกมากมาย
40.เยอบีร่า

ชื่อสามัญ : Gerbera , Barberton daisy
ชื่อวิทยาศาสตร์: Gerbera jamesonii
วงศ์: Compositae
ถิ่นกำเนิด: South Africa
เยอบีร่า เป็นไม้ ดอกที่ปลูกง่าย ให้ดอกตลอดปีซึ่งสามารถจำหน่ายได้ทุกฤดูกาล ดอกของเยอบีร่านั้นมีสีสันหลากหลายและสวยสดใส จึงนิยมตัดดอกมาปักแจกันเพราะว่ามีอายุการปักแจกันนานสามารถอยู่ได้หลายวัน โดยนำมาประดับในอาคารสำนักงาน ห้องทำงาน และบ้านเรือน
เยอ บีร่าไม่ใช่จะมีเพียงแค่ความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีประสิทธิภาพในการดูดสารพิษภายในอาคารได้ดีอีกด้วย จึงจัดว่าเป็นไม้ดอกไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่า
ดอก เยอบีร่ามีลักษณะเป็นดอกเดี่ยว มีหลากสี สดใส ทั้งสีขาวไส้ดำ สีเหลืองไส้ดำ สีชมพูไส้ดำ สีแดงไส้ดำ สีส้มไส้ดำ สีบานเย็นไส้ดำ สีครีมไส้ดำ และสีเหลืองไส้ดำ ออกดอกได้ตลอดทั้งปี นำเข้า 14 สายพันธุ์ มาจากประเทศเนเธอร์แลนด์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น